คัมภีร์โพสะราดและสังคะปะกอนวันนี้
ผมยังเลือกบทที่น่าสนใจว่าด้วยสตรีในกฎหมายลาวโบราณอยู่นะครับ
ครั้งก่อนเป็นการกล่าวว่าด้วยลักษณะของ
"เมีย 12
จำพวก " ซึ่งนับว่าเป็นลักษณะที่มองตามสายตาปัจจุบันพวกนางน่าสงสาร
น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย
วันนี้ว่าด้วย "โทษ หญิงเล่นชู้" (น.13) ลองมาดูกันว่าสาระจะน่าสนใจเพียงใด
แบ่ง ศึกษาเป็นวรรค ๆ ดังนี้ครับ
1. โทดยิงหลิ้นซู้...จะก่าวยิงแพดสะหยาโดยมาดตา 6 สะถาน นอกใจพานหลิ้นซู้ผัวบ่ยู่ตามซายมาเถิงเคหาหน อันหนึ่ง : โทษหญิงเล่นชู้... จะกล่าวหญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน นอกใจพาลเล่นชู้ผัวบ่อยู่ตามชายมาถึงเคหาหน อันหนึ่ง : ศัพท์ 1) หลิ้น : เล่น 2) เถิง : ถึง
2. ยิงลนลักหลอนแบะซายนอนฮามที่วันเดียวมี 3 ซู้ อันหนึ่ง : หญิงดิ้นรน ลักลอบแบะท่านอนกับผู้ชายไม่เป็นที่วันเดียวมี 3 ชู้รัก อันหนึ่ง : ศัพท์ 1) หลอน : แอบ ทำอะไรลับหลัง 2) ฮามที่ : ไม่เป็นที่(ฮาม: เหินห่าง ว่าง เว้น ในที่นี้คือ ไม่เป็นที่) 3) ซู้ : ภาษาอีสาน/ลาว มีความหมาย 2 อย่าง คือ แปลว่าคู่รัก/คนรัก และอีกอย่างแปลว่าชู้ที่ลักลอบกัน แบบภาษาไทย
3. ฮู้ปับได้เอาสินไหม สองถ้า หนึ่งราคารับจ้าง อันหนึ่ง : (ถ้า)รู้ ปรับเอาสินไหมได้ สอง(ถ้วน : เท่า?) เท่า (หนึ่ง) ของราคารับจ้าง (หญิงที่มีหลายชู้เพื่อแลกกับเงิน?)
4. บ่ว่างเว้นซั่วนอกใจผัวสอง กํเทียวขํขับลำท่านให้จำจงแน่ : ไม่ว่างเว้นชั่วนอกใจมีผัวสอง เที่ยวขอ(เงิน) จากผู้ชาย (โดย) ขับร้องหมอลำ ให้จดจำ(หญิงผู้นั้น)ให้แน่ชัด
5. เหล่านี้แหละแพดสะหยาถ้าพิจาระนา เป็นสัดให้ยิงทัดดอกสะบา ฮ้อยมาลาใส่สะแอวไค้วปะนาแอกพาดบ่าทั้งยิงซาย เหมือนควายเทียมไถตะเวนไป 3 วัน : เหล่านี้แหละหญิงแพศยาถ้าพิจารณาเป็นความสัตย์ ให้หญิงนั้นทัดดอกชบา ร้อยมาลาใส่รอบเอว ไขว้แอกทำนาแยกพาดบ่าทั้งหญิงและชาย(ชู้) เหมือนควายเทียมไถตระเวณไป 3 วัน : ศัพท์ 1) สะแอว : เอว บั้นเอว 2) ปะ : แยก ทิ้ง เช่น ผัวปะเมีย (ออกเสียง ผัวป๋าเมีย) : ผัวแยกทาง/หย่าร้างกับเมีย
6. ถ้าผัวมันยังฮักไค่จะหนีให้ปะจาน ฮักยิงพานอีกเล่า ท่านให้เอาซายผัวเทียมเป็นงัวข้างหนึ่ง เพาะดื้ดึงหลงไหล จะปับซู้นั้นมิได้ ให้แต่โทดปะจานแล : ถ้าผัวมันยัง รักใคร่ จนฝ่ายหญิงจะคิดหนี (กลับไปหาผัวเก่า) ให้ประจาน ผัวเก่ายังรักหญิงพาลนี้อีกเล่า ท่านให้เอาชายผัวเทียมเป็นวัวอีกข้างหนึ่งเพราะดื้อดึงหลงไหลเมียเก่า อยู่ จะปรับชู้นั้นมิได้ ให้แต่โทษประจาน(ชู้) แล
จะเห็นได้ว่าในกฎหมาย มองว่าการประพฤติผิดศีลกาเมสุมิฉาจารของหญิงเป็นความผิดร้ายแรงมาก ถึงขนาดว่าไม่ยอมให้สามีเก่าของนางยกโทษหรือให้อภัย ถ้าสามียังรักอยู่ก็ให้ลงโทษให้ร่วมกับเมียแบกแอกดั่งวัวเทียมเกวียน ตระเวณประจานตนเอง และทำให้ชายชู้ได้รับโทษเบาลง ไม่ต้องโดนปรับไหมอะไร แอกก็ไม่ต้องแบก เพียงแต่ถูกกล่าวประจานเท่านั้น
น่าเห็นใจใครบ้างครับระหว่าง "หญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน" กับชายผัวเก่าซึ่งหากยังรักและให้อภัยเมียก็ต้องโดนกฎหมายเอาผิดลงโทษ ขณะที่ชายชู้ไม่ต้องโดนปรับแค่ถูกประจานเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุผลและบริบทของสังคมโบราณก็ย่อมมีเหตุมีผลในสังคมยุคนั้น ๆ ยากที่เราจะเข้าใจ และไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกันหากข้ามเวลาแบบโดราเอม่อนมาได้ คนโบราณก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่ามาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรมของการมี รักสัมพันธ์ของคนในสังคมปัจจุบัน จะเป็นดังที่เราเห็นเช่นทุกวันนี้..ได้อย่างไร...
หมายเหตุ ผมขอเปลี่ยนชื่อตอนจาก ชะตากรรม ของ "หญิงแพศยาเล่นชู้" มาเป็น บทลงโทษหญิงหลายใจ ชายชู้ และสามี เมื่อ 5 มี.ค. 51 05.10 น.
วันนี้ว่าด้วย "โทษ หญิงเล่นชู้" (น.13) ลองมาดูกันว่าสาระจะน่าสนใจเพียงใด
แบ่ง ศึกษาเป็นวรรค ๆ ดังนี้ครับ
1. โทดยิงหลิ้นซู้...จะก่าวยิงแพดสะหยาโดยมาดตา 6 สะถาน นอกใจพานหลิ้นซู้ผัวบ่ยู่ตามซายมาเถิงเคหาหน อันหนึ่ง : โทษหญิงเล่นชู้... จะกล่าวหญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน นอกใจพาลเล่นชู้ผัวบ่อยู่ตามชายมาถึงเคหาหน อันหนึ่ง : ศัพท์ 1) หลิ้น : เล่น 2) เถิง : ถึง
2. ยิงลนลักหลอนแบะซายนอนฮามที่วันเดียวมี 3 ซู้ อันหนึ่ง : หญิงดิ้นรน ลักลอบแบะท่านอนกับผู้ชายไม่เป็นที่วันเดียวมี 3 ชู้รัก อันหนึ่ง : ศัพท์ 1) หลอน : แอบ ทำอะไรลับหลัง 2) ฮามที่ : ไม่เป็นที่(ฮาม: เหินห่าง ว่าง เว้น ในที่นี้คือ ไม่เป็นที่) 3) ซู้ : ภาษาอีสาน/ลาว มีความหมาย 2 อย่าง คือ แปลว่าคู่รัก/คนรัก และอีกอย่างแปลว่าชู้ที่ลักลอบกัน แบบภาษาไทย
3. ฮู้ปับได้เอาสินไหม สองถ้า หนึ่งราคารับจ้าง อันหนึ่ง : (ถ้า)รู้ ปรับเอาสินไหมได้ สอง(ถ้วน : เท่า?) เท่า (หนึ่ง) ของราคารับจ้าง (หญิงที่มีหลายชู้เพื่อแลกกับเงิน?)
4. บ่ว่างเว้นซั่วนอกใจผัวสอง กํเทียวขํขับลำท่านให้จำจงแน่ : ไม่ว่างเว้นชั่วนอกใจมีผัวสอง เที่ยวขอ(เงิน) จากผู้ชาย (โดย) ขับร้องหมอลำ ให้จดจำ(หญิงผู้นั้น)ให้แน่ชัด
5. เหล่านี้แหละแพดสะหยาถ้าพิจาระนา เป็นสัดให้ยิงทัดดอกสะบา ฮ้อยมาลาใส่สะแอวไค้วปะนาแอกพาดบ่าทั้งยิงซาย เหมือนควายเทียมไถตะเวนไป 3 วัน : เหล่านี้แหละหญิงแพศยาถ้าพิจารณาเป็นความสัตย์ ให้หญิงนั้นทัดดอกชบา ร้อยมาลาใส่รอบเอว ไขว้แอกทำนาแยกพาดบ่าทั้งหญิงและชาย(ชู้) เหมือนควายเทียมไถตระเวณไป 3 วัน : ศัพท์ 1) สะแอว : เอว บั้นเอว 2) ปะ : แยก ทิ้ง เช่น ผัวปะเมีย (ออกเสียง ผัวป๋าเมีย) : ผัวแยกทาง/หย่าร้างกับเมีย
6. ถ้าผัวมันยังฮักไค่จะหนีให้ปะจาน ฮักยิงพานอีกเล่า ท่านให้เอาซายผัวเทียมเป็นงัวข้างหนึ่ง เพาะดื้ดึงหลงไหล จะปับซู้นั้นมิได้ ให้แต่โทดปะจานแล : ถ้าผัวมันยัง รักใคร่ จนฝ่ายหญิงจะคิดหนี (กลับไปหาผัวเก่า) ให้ประจาน ผัวเก่ายังรักหญิงพาลนี้อีกเล่า ท่านให้เอาชายผัวเทียมเป็นวัวอีกข้างหนึ่งเพราะดื้อดึงหลงไหลเมียเก่า อยู่ จะปรับชู้นั้นมิได้ ให้แต่โทษประจาน(ชู้) แล
จะเห็นได้ว่าในกฎหมาย มองว่าการประพฤติผิดศีลกาเมสุมิฉาจารของหญิงเป็นความผิดร้ายแรงมาก ถึงขนาดว่าไม่ยอมให้สามีเก่าของนางยกโทษหรือให้อภัย ถ้าสามียังรักอยู่ก็ให้ลงโทษให้ร่วมกับเมียแบกแอกดั่งวัวเทียมเกวียน ตระเวณประจานตนเอง และทำให้ชายชู้ได้รับโทษเบาลง ไม่ต้องโดนปรับไหมอะไร แอกก็ไม่ต้องแบก เพียงแต่ถูกกล่าวประจานเท่านั้น
น่าเห็นใจใครบ้างครับระหว่าง "หญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน" กับชายผัวเก่าซึ่งหากยังรักและให้อภัยเมียก็ต้องโดนกฎหมายเอาผิดลงโทษ ขณะที่ชายชู้ไม่ต้องโดนปรับแค่ถูกประจานเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุผลและบริบทของสังคมโบราณก็ย่อมมีเหตุมีผลในสังคมยุคนั้น ๆ ยากที่เราจะเข้าใจ และไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกันหากข้ามเวลาแบบโดราเอม่อนมาได้ คนโบราณก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่ามาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรมของการมี รักสัมพันธ์ของคนในสังคมปัจจุบัน จะเป็นดังที่เราเห็นเช่นทุกวันนี้..ได้อย่างไร...
หมายเหตุ ผมขอเปลี่ยนชื่อตอนจาก ชะตากรรม ของ "หญิงแพศยาเล่นชู้" มาเป็น บทลงโทษหญิงหลายใจ ชายชู้ และสามี เมื่อ 5 มี.ค. 51 05.10 น.