Wednesday, October 31, 2012

คัมภีร์ "โพสะราดและสังคะปะกอน" (7) บทลงโทษหญิงหลายใจ ชายชู้ และสามีเก่า

คัมภีร์โพสะราดและสังคะปะกอนวันนี้  ผมยังเลือกบทที่น่าสนใจว่าด้วยสตรีในกฎหมายลาวโบราณอยู่นะครับ  ครั้งก่อนเป็นการกล่าวว่าด้วยลักษณะของ "เมีย 12 จำพวก " ซึ่งนับว่าเป็นลักษณะที่มองตามสายตาปัจจุบันพวกนางน่าสงสาร  น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย                                            
วันนี้ว่าด้วย "โทษ หญิงเล่นชู้" (น.13) ลองมาดูกันว่าสาระจะน่าสนใจเพียงใด 
              

http://ahph9thi.gotoknow.org/assets/media/files/000/155/688/original_SANY0271.jpg?1285874893


แบ่ง ศึกษาเป็นวรรค ๆ ดังนี้ครับ
1. โทดยิงหลิ้นซู้...จะก่าวยิงแพดสะหยาโดยมาดตา 6 สะถาน  นอกใจพานหลิ้นซู้ผัวบ่ยู่ตามซายมาเถิงเคหาหน อันหนึ่ง :  โทษหญิงเล่นชู้... จะกล่าวหญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน  นอกใจพาลเล่นชู้ผัวบ่อยู่ตามชายมาถึงเคหาหน อันหนึ่ง : ศัพท์  1) หลิ้น : เล่น  2) เถิง : ถึง
2. ยิงลนลักหลอนแบะซายนอนฮามที่วันเดียวมี  3  ซู้ อันหนึ่ง : หญิงดิ้นรน ลักลอบแบะท่านอนกับผู้ชายไม่เป็นที่วันเดียวมี 3 ชู้รัก อันหนึ่ง :  ศัพท์  1) หลอน : แอบ  ทำอะไรลับหลัง   2) ฮามที่ :  ไม่เป็นที่(ฮาม: เหินห่าง  ว่าง  เว้น  ในที่นี้คือ ไม่เป็นที่)  3) ซู้ภาษาอีสาน/ลาว มีความหมาย   2  อย่าง  คือ  แปลว่าคู่รัก/คนรัก  และอีกอย่างแปลว่าชู้ที่ลักลอบกัน แบบภาษาไทย 
3. ฮู้ปับได้เอาสินไหม  สองถ้า  หนึ่งราคารับจ้าง อันหนึ่ง : (ถ้า)รู้ ปรับเอาสินไหมได้  สอง(ถ้วน : เท่า?) เท่า (หนึ่ง) ของราคารับจ้าง (หญิงที่มีหลายชู้เพื่อแลกกับเงิน?)
4. บ่ว่างเว้นซั่วนอกใจผัวสอง กํเทียวขํขับลำท่านให้จำจงแน่ : ไม่ว่างเว้นชั่วนอกใจมีผัวสอง  เที่ยวขอ(เงิน) จากผู้ชาย (โดย) ขับร้องหมอลำ  ให้จดจำ(หญิงผู้นั้น)ให้แน่ชัด
5. เหล่านี้แหละแพดสะหยาถ้าพิจาระนา  เป็นสัดให้ยิงทัดดอกสะบา  ฮ้อยมาลาใส่สะแอวไค้วปะนาแอกพาดบ่าทั้งยิงซาย  เหมือนควายเทียมไถตะเวนไป  3  วัน : เหล่านี้แหละหญิงแพศยาถ้าพิจารณาเป็นความสัตย์  ให้หญิงนั้นทัดดอกชบา  ร้อยมาลาใส่รอบเอว  ไขว้แอกทำนาแยกพาดบ่าทั้งหญิงและชาย(ชู้)  เหมือนควายเทียมไถตระเวณไป  3  วัน ศัพท์  1) สะแอว : เอว  บั้นเอว  2) ปะ : แยก  ทิ้ง  เช่น  ผัวปะเมีย (ออกเสียง ผัวป๋าเมีย) : ผัวแยกทาง/หย่าร้างกับเมีย
6. ถ้าผัวมันยังฮักไค่จะหนีให้ปะจาน ฮักยิงพานอีกเล่า  ท่านให้เอาซายผัวเทียมเป็นงัวข้างหนึ่ง  เพาะดื้ดึงหลงไหล  จะปับซู้นั้นมิได้  ให้แต่โทดปะจานแล : ถ้าผัวมันยัง รักใคร่  จนฝ่ายหญิงจะคิดหนี (กลับไปหาผัวเก่า) ให้ประจาน  ผัวเก่ายังรักหญิงพาลนี้อีกเล่า  ท่านให้เอาชายผัวเทียมเป็นวัวอีกข้างหนึ่งเพราะดื้อดึงหลงไหลเมียเก่า อยู่  จะปรับชู้นั้นมิได้  ให้แต่โทษประจาน(ชู้) แล
                                  


http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRLSe1yLRcy8A_9ZagCzyQZXebZvBqDO4CoYpiRAAHTzIyQD49kvg-XRnSy



จะเห็นได้ว่าในกฎหมาย มองว่าการประพฤติผิดศีลกาเมสุมิฉาจารของหญิงเป็นความผิดร้ายแรงมาก  ถึงขนาดว่าไม่ยอมให้สามีเก่าของนางยกโทษหรือให้อภัย  ถ้าสามียังรักอยู่ก็ให้ลงโทษให้ร่วมกับเมียแบกแอกดั่งวัวเทียมเกวียน ตระเวณประจานตนเอง  และทำให้ชายชู้ได้รับโทษเบาลง  ไม่ต้องโดนปรับไหมอะไร  แอกก็ไม่ต้องแบก  เพียงแต่ถูกกล่าวประจานเท่านั้น 
น่าเห็นใจใครบ้างครับระหว่าง "หญิงแพศยาโดยมาตรา 6 สถาน" กับชายผัวเก่าซึ่งหากยังรักและให้อภัยเมียก็ต้องโดนกฎหมายเอาผิดลงโทษ  ขณะที่ชายชู้ไม่ต้องโดนปรับแค่ถูกประจานเท่านั้น 
อย่างไรก็ตาม  เหตุผลและบริบทของสังคมโบราณก็ย่อมมีเหตุมีผลในสังคมยุคนั้น ๆ ยากที่เราจะเข้าใจ  และไม่น่าเชื่อ  เช่นเดียวกันหากข้ามเวลาแบบโดราเอม่อนมาได้  คนโบราณก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่ามาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรมของการมี รักสัมพันธ์ของคนในสังคมปัจจุบัน  จะเป็นดังที่เราเห็นเช่นทุกวันนี้..ได้อย่างไร...
 หมายเหตุ  ผมขอเปลี่ยนชื่อตอนจาก  ชะตากรรม ของ "หญิงแพศยาเล่นชู้"  มาเป็น  บทลงโทษหญิงหลายใจ  ชายชู้  และสามี  เมื่อ 5 มี.ค. 51  05.10 น.

กฎหมาย ตราสามดวง

กฎหมายตราสามดวง

กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ 1 เนื่อง จากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า ที่มีมาแต่ครั้งโบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ จุลศักราช 1166 ตรงกับ พ.ศ. 2347 โปรด ให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา 3 ดวง คือ ตราพระราชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหนายก) 1 ตราพระคชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหม) 1 และตราบัวแก้ว (สำหรับตำแหน่งโกษาธิบดี หมายถึงพระคลัง ซึ่งดูแลรวมทั้งกิจการด้านต่างประเทศ) ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง
กฎหมาย ตราสามดวงนี้ ได้ใช้อาลักษณ์หลายท่านเขียนขึ้น โดยแยกเป็น “ฉบับหลวง” และ “ฉบับรองทรง” โดยสันนิษฐานว่า สำหรับฉบับหลวง ชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย 41 เล่ม เมื่อรวม 3 ชุด จึงมีทั้งสิ้น 123 เล่ม แต่เท่าที่พบ ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 79 เล่ม โดยเก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม 37 เล่ม และที่หอสมุดแห่งชาติ41 เล่ม ส่วนอีก 44 เล่ม ไม่ทราบว่าขาดหายไปด้วยประการใด ส่วน ฉบับรองทรง นั้น ก็คือ กฎหมายตราสามดวงที่อาลักษณ์ชุดเดียวกับที่เขียนฉบับหลวง ได้เขียนขึ้น โดยเขียนในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยฉบับหลวง เขียนในปีฉลู จ.ศ.1167 (พ.ศ. 2348) ส่วนฉบับรองทรงเขียนขึ้นในปีเถาะ จ.ศ. 1169 (พ.ศ. 2350) ข้อแตกต่างระหว่าง ฉบับหลวง และฉบับรองทรง ก็คือ ฉบับรองทรงจะไม่มีตราสามดวงประทับไว้ และฉบับหลวงจะมีอาลักษณ์สอบทาน 3 คนส่วนฉบับรองทรงมีอาลักษณ์สอบทานเพียง 2 คน สำหรับกฎหมายตราสามดวง ฉบับรองทรงนี้ ปัจจุบันนี้พบเพียง 18 เล่ม โดยเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุดแห่งชาติ 17 เล่มและที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย สำนัก งานอัยการสูงสุด 1 เล่ม
 
ตราสามดวง คือ
(1) ตราพระราชสีห์ - สมุหนายก
(2) ตราพระคชสีห์ - สมุหพระกลาโหม
(3) ตราบัวแก้ว - เจ้าพระยาพระคลัง
 
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตน โกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดย อาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการ ทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของ ชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”
เมื่อ ผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา ต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น ขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงทรงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนา พระไตรปิฎกจากคดีอำแดงป้อมดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของ กฎหมายที่ว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย ตามอำเภอใจ
ใน คดีนี้แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องเหมือนการ สังคายนาพระไตรปิฎก ดัง พระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”
§ กฎหมายตรา สามดวงมีลักษณะเป็นกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) กล่าวคือ กฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของกฎหมายตราสามดวงโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพระธรรมศาสตร์ ที่มีลักษณะทั่วไปและมีฐานะสูงกว่าจารีตประเพณี มีการจัดระบบกฎหมายที่เป็นระบบและมีการใช้เหตุผลของนักกฎหมายปรุงแต่ง
§ กฎหมายตรา สามดวงมีลักษณะที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ ทุกคนแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
§ ไม่มีการ บัญญัติโดยแท้ บทกฎหมายใหม่นี้จึงเป็นผลงานของ นักกฎหมาย อันได้แก่ ศาลและพระ มหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นนักกฎหมายด้วย ไม่ใช่กฎหมาย ที่บัญญัติขึ้นด้วยเหตุผลทางเทคนิค โดยกระบวนการนิติบัญญัติอย่างปัจจุบัน
§ มีความ นับถือตัวบทกฎหมาย เชื่อว่าไม่มีใครสามารถแก้กฎหมายได้เพราะกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่คนสร้างขึ้น แม้แต่กษัตริย์ก็แก้ไม่ได้ หากเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสมจะใช้การชำระสะสางไม่ใช่ยกร่างขึ้นใหม่หรือ แก้ไขกฎหมายเดิม
§ ไม่ใช่ ประมวลกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านเพราะเป็นที่รวมของบทกฎหมายที่ปรุง แต่งโดยนักกฎหมายและจารีตประเพณีที่ สำคัญเท่านั้น การเรียกว่าประมวลกฎหมายตราสามดวงนั้นเป็นเพียงการใช้คำว่าประมวลเพื่อ ยกย่องเท่านั้น
§ เป็นกฎหมาย ที่ใช้เป็นคู่มือในการชี้ขาดตัดสินคดีเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการ พิจารณาพิพากษาคดี และใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นหลัก ไม่ใช่กฎหมายที่เขียนขึ้นในลักษณะตำรากฎหมาย
 
การเลิกกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายตรา สามดวงได้เป็นกฎหมายหลักของประเทศที่ใช้บังคับมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะเวลานานถึง ๑๐๓ ปี จนกระทั่งมีการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลตามแบบประเทศมหาอำนาจยุโรป จึงได้เลิกใช้กฎหมายตราสามดวง
 
เรียบเรียงโดย Arayanews

กฎหมายลักษณอาญา ร.ศ. 127

กฎหมายลักษณอาญา  ร.ศ. 127


            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ ทรงพระราชดำริว่า

 พระราช กำหนดกฎหมายสำหรับพระราชอาณาจักรสยามนี้  บรม กษัตริย์แต่โบราณสมัย
ได้รับ คัมภีร์พระธรรมศาสน์กองมนูสาราจารย์  ซึ่งเป็นกฎหมาย ในมัชฌิมประเทศมาเป็นหลักของ
กฎหมายแล้ว
            แลเมื่อมีเหตุอันใดเกิดขึ้น  อัน จะตัดสินพระธรรมศาสน์มิได้ โดยกฎหมายพระธรรมศาสน์
ไม่กล่าวถึงก็ดี  หรือโดยประเพณีแลความนิยมในสยามประเทศผิดกันกับมัชฌิม ประเทศก็ดี  บรม
กษัตริย์แต่ปางก่อน ก็ทรงตั้งพระราชกำหนดบทพระอัยการขึ้นไว้เป็นแบบแผนสำหรับพิพากษา
เหตุแลคดีอย่างนั้น ๆ ที่จะมีขึ้นในภายหน้า พระราชกำหนดบทพระอัยการนี้ ก็เปนกฎหมายสำหรับ
พระราชอาณาจักรเพิ่ม เติมขึ้นโดยลำดับมา  และพระราชกำหนดบทพระอัยการที่ ได้ตั้งมาเป็น
ครั้งเป็นคราวนี้  เมื่อ ล่วงเวลาช้านานเข้า ก็มีมากมายซับซ้อนกันเกิดลำบากแก่การที่จะพิพากษา
อรรถคดี  โดยการบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงมาพ้นเหตุ  ล่วง สมัยที่จะต้องใช้พระราชกำหนดบทพระ
อัยการที่กษัตริย์ พระองค์แต่ก่อน ๆ  ได้ทรงบัญญัติไว้หลายชั่วอายุคน แล้วบ้าง  หรือโดยเหตุที่
พระราชกำหนดบทพระ อัยการเก่าขัดขวางกับที่บรมกษัตริย์ภายหลัง  ได้ทรง ตั้งขึ้นบ้าง  ในเวลา
เมื่อถึงความลำบากมี ขึ้นเช่นนี้   พระเจ้าแผ่นดินจึงโปรดให้ประชุมลูกขุน ณ ศาลาอันเป็นเจ้า
กระทรวงฝ่ายธุรการ พร้อม ด้วยลูกขุน ณ ศาลหลวงอันมีตำแหน่งในฝ่ายตุลาการตรวจชำระพระราช
กำหนดกฎหมาย  แลทรงพระราชวินิจฉัยให้ยกเลิกบทกฎหมายที่พ้นเวลาแลมิควร จะใช้ออกเสีย
คงไว้แต่ที่ยังใช้ได้  จัด ระเบียบเข้าเป็นลักษณะมีหมวดหมู่แลมาตราให้คนทั้งหลายรอบรู้บท
กฎหมายง่ายขึ้น  แลเป็นความสะดวกแก่การพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงทั่วไป  เป็นราชประเพณีมี
สืบมาแต่โบราณทีเดียว ดังนี้  แลการตรวจชำระพระราชกำหนด กฎหมายดังว่ามานี้  ครั้งหลังที่สุด
ได้มีเมื่อจุลศักราช 1166  ปีชวด ฉศก รัตน โกสินทร์ศก 23  ในรัชชกาลแห่งสมเด็จพระบรม
ไปยกาธิราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ตั้งแต่นั้นมาจน บัดนี้นับได้ 103 ปี  ยังหา
ได้ตรวจชำระพระราช กำหนดบทพระอัยการให้เรียบร้อยไม่  ก็เป็นธรรมดาอยู่ เองที่พระราชกำหนด
บทพระอัยการ  อัน พ้นความต้องการในสมัยนี้แลที่ขัดขวางกันเองจะมีอยู่เป็นอันมาก  ทรงพระราช
ดำริเห็นว่า  ถึง เวลาสมควรที่จะต้องตรวจชำระพระราชกำหนดกฎหมายอยู่ด้วยเหตุนี้แล้วประการ
หนึ่ง

            อีกประการหนึ่งในระหว่างตั้งแต่จุลศักราช 1217 ปีเถาะ สัปตศก รัตนโกสินทร์ศก 74
กรุงสยามได้ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี กับนานาประเทศแลหนังสือสัญญาทั้งปวงนั้น  ได้
ทำตามแบบหนังสือสัญญา ที่ฝรั่งได้ทำกับประเทศทางตวันออก  คือประเทศเตอรกี ประเทศจีน
แลประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น  มีข้อความอย่าง เดียวกันที่ยอมให้กงสุลมีอำนาจตั้งศาลพิจารณาแล
พิพากษาคดีตามกฎหมาย ของเขา  ในเมื่อคนในบังคับของชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอยู่ในประเทศทาง
ตะวันออกเป็นความกันขึ้นเอง  หรือเป็นจำเลยของคนในบังคับของบ้านเมือง  ลัก ษณการอย่างนี้แม้
จะมีประโยชน์ที่บรรเทาความรับผิดชอบ แห่งเจ้าของประเทศได้อยู่บ้างในสมัยเมื่อแรกทำหนังสือ
สัญญา  เวลามีชาวต่างประเทศพึ่งเข้ามาค้าขาย  แต่ ต่อมาเมื่อการค้าขายคบหากับนานาประเทศ
เจริญแพร่หลาย  มีชาวต่างประเทศมาตั้งประกอบการค้าขายในพระราชอาณาจักร มากขึ้น  ความ
ลำบากในเรื่องคดีที่ เกี่ยวข้องกับคนในบังคับต่างประเทศ  ก็ยิ่งปรากฏเกิด มีทวีมากขึ้นทุกที
เพราะเหตุที่คนทั้งหลายอันประกอบการสมาคม ค้าขายอยู่ในประเทศบ้านเมืองอันเดียวกัน  ต้องอยู่
ในอำนาจศาลแลในอำนาจ กฎหมายต่าง ๆ กันตามชาติของบุคคล  กระทำให้เป็นความ ลำบากขัดข้อง
ทั้งในการปกครองบ้านเมือง  แลกีดกันประโยชน์ของคนทั้งหลายตลอดจนชนชาติต่างประเทศนั้น ๆ
เองอยู่เป็นอันมาก  ความลำบากด้วยเรื่องอำนาจศาล กงสุล  เช่น ว่ามานี้ย่อมมีทุกประเทศที่ได้ทำ
สัญญาโดยแบบอย่างอัน เดียวกัน  แลต่างมีความประสงค์อย่างเดียวกันที่จะหา อุบายเลิกล้าง  วิธี
ศาลกงสุลต่างประเทศ  ให้คนทั้งหลายไม่ว่าชาติใด ๆ บรรดาอยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้รับประโยชน์อยู่
ในอำนาจกฎหมายแลอำนาจศาลสำหรับบ้านเมือง แต่อย่างเดียวทั่วกัน 

 ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มริคิดอ่านจัดการเรื่องนี้ก่อน ประเทศอื่น  โดยวิธีเลือกหาเนติบัณฑิตต่างประเทศที่ ชำนาญระเบียบบทกฎหมายฝรั่ง  มารับราชการเป็นที่ ปรึกษาทำการพร้อมด้วย
ข้าราชการญี่ปุ่น  ช่วย กันตรวจชำระกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น  จัดเข้าระเบียบ เรียบเรียงให้เป็นแบบ
แผนวิธีทำนองเดียวกับกฎหมายที่ใช้อยู่ใน ประเทศฝรั่งโดยมาก  ทั้งจัดการศาลยุตติธรรม  ให้เป็นไป
ตามสมควรแก่ปรัตยุบันสมัยทั่วไปในประเทศ ญี่ปุ่น  เมื่อประเทศทั้งปวงแลเห็นว่ากฎหมายแลศาลของ ญี่ปุ่นเป็นระเบียบแบบแผนเรียบร้อยดีแล้ว  ก็ยอมแก้ สัญญายกเลิกอำนาจศาลกงสุลให้คนในบังคับต่างประเทศอยู่ในอำนาจกฎหมายแลศาล ญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นมา  มีประเทศญี่ปุ่นที่เลิกอำนาจ ศาล กงสุล  ต่างประเทศได้ด้วยอุบายที่จัดการดังกล่าว มานี้เป็นปฐม   แลเป็นทางที่ ประเทศอื่น ๆ อันได้รับความลำบากอยู่ด้วยวิธีศาลกงสุลต่างประเทศเข้ามาตั้งในบ้านเมือง  จะดำเนิรตามให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันได้  ด้วยเหตุเหล่านี้  จึงได้โปรดให้ หาเนติบัณฑิต ผู้ชำนาญกฎหมายต่างประเทศเข้ามารับราชการหลายนาย  มีมองซิเออร์ โลแลงยัคแมงส์  ผู้ได้เคยเป็นเสนาบดีในประเทศเบลเคียม
(ผู้เขียนเข้า ใจว่าเป็น ประเทศเบลเยี่ยม)  ที่ได้มารับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาอภัยราชานั้น เป็นต้น 

                                               
แลเมื่อรัตนโกสินทร์ศก 116  ได้ ทรงพระกรุณาโปรดให้มีกรรมการผู้ชำนาญกฎหมาย ทั้งฝ่ายไทย
แลต่างประเทศ คือ  พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์  เสนาบดีกระทรวงยุตติธรรม เป็น
ประธาน...พร้อมกัน ตรวจพระราชกำหนดบทพระอัยการเก่าใหม่  และปรึกษาลัก ษณการที่จะชำระ
แลจัดระเบียบกฎหมายเป็นเดิมมา...

ช่วยกันรวบรวมพระราช กำหนดบทพระอัยการอันควรคงจะใช้ต่อไปเรียบเรียงเป็นร่างขึ้นไว้  แต่ยังหา
ได้ตรวจชำระไม่  ครั้น เมื่อรัตนโกสินทร์ศก 132  ทรงพระกรุณาโปรดให้หามองซิ เออร์ ยอชส์ปาดู
เนติบัณฑิตฝรั่งเศส  เข้ามารับราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาในการร่างกฎหมาย  จึงได้โปรดให้ตั้ง
กรรมการ  มี  มองซิเออร์  ยอชส์ ปาดู  เป็นประธาน ...    รับ ร่างกฎหมายที่กรรมการก่อนได้ทำไว้
มาตรวจชำระแก้ไขอีก ครั้งหนึ่ง เมื่อกรรมการนี้ได้ชำระร่างกฎหมายส่วนลักษณอาญาเสร็จ  แลได้ส่ง
ร่างนั้นไปปรึกษาเจ้ากระทรวงฝ่าย ธุรการ  บรรดามีหน้าที่ราชการเกี่ยวข้องต้องปฏิบัติ เนื่องด้วย
กฎหมายนี้ทุกกระทรวงแล้ว  จึงนำร่างนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว  จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งกรรมการ เสนาบดี  มี พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงดำรงราชานุ ภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  เป็นประธาน...   ช่วยกันตรวจชำระร่าง
กฎหมายลักษณอาญาที่ ร่างใหม่  พร้อมด้วยกรรมการซึ่ง มองซิเออร์ ยอชส์ ปาดู  เป็นประธานนั้น
เป็นชั้นที่สุดอีก ชั้นหนึ่ง...

การตรวจชำระร่างกฎหมายลักษณอาญาสำเร็จได้ ดังพระราชประสงค์   ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
เมื่อเสด็จกลับคืนพระ นคร ทรงตรวจแก้ไขด้วยพระองค์เองอีกชั้นหนึ่ง  แลได้ทรงปรึกษาในที่ประชุม
เสนาบดีเห็นชอบโดย พระราชบริหารแล้ว  จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ  ให้ตราไว้เป็นพระราชบัญญัติสืบ ไป

                                                           


สารบัญ
กฎหมายลักษณอาญา

พระราชปรารภ
ความเบื้องต้น

ภาค 1
ว่าด้วยข้อบังคับต่าง ๆ

ภาค 2
ว่าด้วยลักษณความผิด
ส่วนที่ 1
ว่า ด้วยความผิด ประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว แลพระราชอาณาจักร
ส่วนที่ 2
ว่า ด้วยความผิดอันเกี่ยวด้วยการปกครองบ้านเมือง
ส่วนที่ 3
ว่า ด้วยความผิดที่กระทำให้เสื่อมเสียความยุตติธรรม
ส่วนที่ 4
ว่า ด้วยความผิดต่อศาสนา
ส่วน ที่ 5
ว่าด้วยความผิดที่กระทำให้ เกิดภยันตรายแก่บุคคลแลทรัพย์
ส่วน ที่ 6
ว่าด้วยความผิดที่กระทำ อนาจาร
ส่วนที่ 7
ว่าด้วยความผิดที่ประทุษร้ายแก่ชีวิตแลร่างกาย
ส่วนที่ 8
ว่า ด้วยความผิดที่กระทำให้เสี่อมเสียอิสสรภาพ แลชื่อเสียง
ส่วนที่ 9
ว่า ด้วยความผิด ที่ประทุษร้ายแก่ทรัพย์
ส่วนที่ 10
ว่า ด้วยความผิด ที่เป็นลหุโทษ

พระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลักษณอาญา  พระพุทธศักราช 2470
พระราชบัญญัติแก้ไขเปลี่ยนแปลง กฎหมายลักษณอาญามาตรา 335 ข้อ 2
พระราชบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมายลักษณอาญา





หนังสือ กฎหมายลักษณอาญา ร.ศ. 127 ได้จัดพิมพ์พร้อมกับ 
พระ ราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลักษณอาญา พระพุทธศักราช 2470
พระ ราชบัญญัติแก้ไขเปลี่ยนแปลง กฎหมายลักษณอาญา มาตรา 335 ข้อ 2
พระ ราชบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมายลักษณอาญา พระพุทธศักราช 2468

เป็นหนังสือปกอ่อน  หนา  189  หน้า            
พิมพ์เมื่อพุทธศักราช  2474
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ห้างสมุด  สำเพ็ง  พระนคร
ราคาเล่มละ 1 บาท 25  สตางค์



นับเป็นหนังสือเก่าอันทรงคุณค่ายิ่งที่หายากมากเล่ม หนึ่งในปัจจุบัน  ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับกฎหมาย  สำหรับ นักกฎหมาย  นักวิชาการ  นัก ศึกษา และผู้สนใจ เป็นอย่างยิ่ง 
.

กุดหัว-ยิงเป้า โทษประหารชีวิต

  กุดหัว-ยิงเป้า โทษประหารชีวิต


ภาพจาก www.manager.co.th 


--->ตำรวจ หมายถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาความสงบ จับกุม และปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายเรียกชื่อตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ เช่น ตำรวจบ้าน ตำรวจกองปราบ ตำรวจดับเพลิง ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ ตำรวจป่าไม้

*แปลก จริง ทำไมไม่มีคำว่าตำรวจฆาตกรนะ*

--->ทหาร หมายถึง ผู้มีหน้าที่ในเรื่องรบ, นักรบ

*แต่ นักรบที่เห็นวันนี้ คือ นักรบมือตบ ที่อาวุธคู่กายไม่สามารถใช้สังหารใครได้ ส่วนทหาร เห็นไปยืนอยู่ข้างหลังผู้สั่งฆ่าประชาชน ภาพนั้นทำให้นายทหารผู้รักเกียรติศักดิ์แห่งนักรบไทยเกิดความอดสูใจ เหตุที่ทราบความรู้สึกของนายทหารบางท่านเพราะบังเอิญมีโอกาสได้คุยกับนาย ทหารท่านนั้น (ไม่สามารถเอ่ยนามได้)

---> นักโทษ หมายถึง บุคคลซึ่งถูกลงโทษจําคุก

--->จำ คุก หมายถึง โทษทางอาญาสถานหนึ่ง ที่ให้เอาตัวผู้ต้องโทษไปคุมขังไว้ในเรือนจำ

*ใน พจนานุกรมไม่ได้บอกไว้ว่า นักโทษที่หนีการจำคุกนั้น เรียกว่าอะไร*

---> ผู้ร้าย หมายถึง โจร, อาชญากร

---> อาชญากร หมายถึง ผู้ก่ออาชญากรรม, ผู้กระทําความผิดที่เป็นคดีอาญา

--->โจร หมายถึง ผู้ร้ายที่ลักขโมยหรือปล้นสะดมทรัพย์สินผู้อื่นเป็นต้น

--->ฆาตกร หมายถึง ผู้ฆ่าคน

---> ฆาตกรรม หมายถึง การฆ่าคน


ตามพจนานุกรมฯ บอกไว้ว่า ตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ตรวจตรารักษาความสงบ จับกุมและปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมาย พจนานุกรมฯไม่ได้บอกวิธีการปราบปรามของตำรวจ ว่าต้องปราบปรามอย่างไร...? ต้องไปดูในรัฐธรรมนูญฉบับที่ฆาตกรพยายามจะเปลี่ยนแปลงความผิดให้กลายเป็น ความถูกต้องนั่นแหละ

การลงโทษจำคุกสำหรับบุคคลธรรมดา เมื่อศาลตัดสินลงโทษ ต้องได้รับการจับกุมคุมขังทันที แต่การลงโทษจำคุกสำหรับบุคคลผู้ที่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองระดับประเทศกลับ ทำได้ยากกว่า มิหนำซ้ำ ยังมีความพยายามที่จะให้นักโทษได้ออกหน้าออกตา ออกข่าวเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตัวเองเพื่อเรียกความรัก ความสงสารกลับคืน เพื่อทำสิ่งผิดให้กลายเป็นถูก

หลาย คนสงสัย ฉันเองก็สงสัยว่า แล้วโทษการจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงล่ะ จะทำอย่างไร...?
ทำไม...? ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจึงได้ละเลยที่จะเอาโทษบุคคลเหล่านี้ ทั้งๆที่มีหลักฐาน ภาพ เสียง ที่บังอาจอย่างชัดเจน หากพฤติกรรมจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงเกิดขึ้นในสมัยโบราณ รับรองว่ามันไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้และโทษสถานเดียวที่มันบังอาจ คือ โทษประหารชีวิต

คำสุดท้ายที่ฉันสงสัยใคร่รู้ก็คือ คำว่า ประหารชีวิต ซึ่งมีความหมายว่า โทษทางอาญาขั้นสูงสุดที่ลงแก่ผู้กระทําความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ วิธีประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา คือ การเอาตัวผู้ต้องโทษประหารชีวิตไปยิงเสียให้ตาย

การยิง หรือที่เรียกว่า ยิงเป้า คือวิธีการลงโทษประหารชีวิตในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นโทษประหารชีวิตของผู้กระทำผิดอาญาอุกฉกรรจ์ คือ การตัดคอโดยเพชฌฆาต


ภาพเหตุการณ์ลงโทษประหารชีวิต เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี (ไม่ทราบระยะเวลาแน่นอน)

โทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษ ที่รุนแรงที่สุดที่ใช้ต่อผู้กระทำความผิด ถือเป็นการลงโทษที่เก่าแก่ที่สุด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จุดมุ่งหมายของการประหารชีวิตคือ การกำจัดผู้กระทำผิดให้พ้นไปจากสังคมด้วยวิธีการฆ่า ในสมัยโบราณเรียกการลงโทษประหาร ว่า"กุดหัว"โดยใช้ดาบฟัน ที่คอนักโทษเด็ดขาด
ภาพเหตุการณ์ลงโทษประหารชีวิต เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี (ไม่ทราบระยะเวลาแน่นอน)

ดาบที่ใช้ในการประหารชีวิตนั้นมีรูป ร่างต่างกันครูเพชฌฆาตเป็นผู้จัด ทำดาบขึ้น มีดาบปลายแหลม ดาบปลายตัด และดาบหัวปลาไหล การประหารชีวิตครั้งใดจะใช้ดาบชนิดใด ให้อยู่ในดุลพินิจของครูเพชฌฆาต

เพชฌฆาต ผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตมี ๓ คนคือ ดาบที่หนึ่ง และตัวสำรองอีก ๒ คน เรียกว่า ดาบสอง และ ดาบสาม ถ้าดาบหนึ่งฟันคอไม่ขาด ดาบสองจะต้องซ้ำ ถ้ายังไม่ขาดดาบสามก็ต้องเชือดให้ขาด 

พิธีการประหารชีวิตด้วยดาบจะมีวัตถุเครื่องมือเครื่องใช้ และพิธีทางไสยศาสตร์หลายอย่าง เช่นมีสายมงคลล้อม รอบบริเวณประหารกันผีตายโหงจะเฮี้ยน การตัดสายมงคลต้องใช้มีดโดยเฉพาะ จะใช้ของอื่นไม่ได้ เป็นต้น 

ภาพ เหตุการณ์ลงโทษประหารชีวิต เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี (ไม่ทราบเวลาแน่นอน)

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น การประหาร ชีวิตนักโทษด้วยดาบมักทำพิธีกันที่วัด โดยคุมตัวผู้ต้องโทษประหาร เดินทางโดยทางเรือออกจากคุกในลักษณะจองจำครบ ๕ ประการ โดยสรุปขั้นตอนการประหารชีวิตด้วยดาบ ดังนี้ 

๑. เมื่อลูกขุน ณ ศาลาลูกขุน ณ ศาลหลวง วางโทษประหารชีวิต ก็จะนำความขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิต

ภาพเหตุการณ์ลงโทษประหารชีวิต เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี (ไม่ทราบเวลาแน่นอน)

๒. ก่อนจะนำตัวไปประหารชีวิต จะต้องถูกเฆี่ยน ๓ ยกๆละ ๓๐ ที รวม ๙๐ ที 

๓. จัดอาหารคาวหวานมื้อสุดท้ายให้นักโทษกินก่อนประหาร และนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟัง 

๔. นักโทษประหารถูกจับนั่งมัดกับหลักไม้กางเขนแบบกาจับหลัก 


ภาพเหตุการณ์ลงโทษประหารชีวิต เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี (ไม่ทราบเวลาแน่นอน)

๕. เพชฌฆาตเอาดินเหนียวอุดหู อุดปาก และแปะไว้ที่ต้นคอนักโทษ เพื่อกำหนดตรงที่จะฟันจาก นั้นเพชฌฆาตดาบสองจะร่ายรำไปมา เพื่อรอจังหวะให้จิตนักโทษสงบ พร้อมกับเพชฌฆาตดาบหนึ่งลงดาบ ฟันคอทันที

๖. เมื่อประหารแล้ว เจ้าหน้าที่จะตัดส้นเท้า เพื่อถอดตรวนออกแล้วสับร่างกายหรือแล่เนื้อให้ทานแก่แร้งกา

๗. เอาหัวเสียบประจาน



ยิ ง เ ป้ า

ปัจจุบันการลงโทษประหารชีวิตผู้กระทำผิดได้ เปลี่ยนจากการประหารชีวิตด้วยดาบมาเป็นการ ประหารชีวิตด้วยปืน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นต้นมา เรียกว่า การยิง เป้า

วิธีการประหารชีวิตจะเริ่ม ขึ้นโดยเจ้าหน้าที่อ่านคำสั่งศาลและฎีกาทูลเกล้าซึ่งพระเจ้าอยู่หัวพระราช ทานฯ คืนมาให้ผู้ต้องโทษฟังและลงชื่อรับทราบ ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนประวัติให้ถูก ต้องและอนุญาตให้ ผู้ต้องโทษจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือกิจการจำเป็นอื่นใดเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วจึงให้ผู้ต้องโทษฟังเทศน์จากพระภิกษุสงฆ์หรือนักพรตในนิกายศาสนาที่ผู้ ต้องโทษเลื่อมใสแล้วให้รับประทานอาหาร เป็นมื้อสุดท้าย

จากนั้นนำผู้ต้องโทษเข้าสู่หลักประหารซึ่งเป็น ลักษณะเป็นไม้กางเขนมีความสูงขนาดไหล่ โดยผู้ต้อง โทษจะถูกมัดด้วยด้ายดิบ ให้ยืนหันหน้าเข้าหลักประหารซึ่งมีไม้นั่งคร่อม ป้องกันมิให้ผู้ต้องโทษยืนตัวงอ หรือเข่าอ่อน ข้อมือทั้งสองผูกมัดติดกับหลักประหารในลักษณะประนมมือ กำดอกไม้ธูปเทียนไว้ เจ้าหน้าที่ นำฉากประหารซึ่งมีเป้าวงกลมติดอยู่กับฉาก ตั้งเล็งให้เป้าอยู่ตรงจุดกลางหัวใจของผู้ต้องโทษ ห่างจากด้านหลังผู้ต้องโทษประมาณ ๑ ฟุต เพื่อกำบังมิให้เจ้าหน้าที่ผู้ลั่นไกปืนเห็นตัวผู้ต้องโทษ

แท่น ปืนประหารตั้งห่างจากฉากประหารประมาณ ๔ เมตร เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ โดยโบกธงสีแดง ผู้ทำหน้าที่ลั่น ไกปืน คณะกรรมการประหารชีวิตร่วมกันตรวจสอบจนแน่ใจว่านักโทษถึงแก่ความตายอย่างแท้ จริง จากนั้น เจ้าหน้าที่จะจัดพิมพ์ลายนิ้วนักโทษประหารเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันว่า ไม่ประหารชีวิตผิดตัว

ภาพจาก www.manager.co.th


โทษประหารชีวิต


song yong joon

Capital punishment or the death penalty, is the execution of a person by judicial process as a punishment for an offense. Crimes that can result in a death ...





capital punishment




เมื่อไม่กี่วันมานี้ หลายท่านพบข่าวการประหารชีวิตผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยการฉีดสารพิษเข้าร่างกายตาม ม.19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบของกระทรวงยุติธรรม ที่ได้แก้ไขและใช้มาเมื่อปี พ.ศ.2546 โทษประหารชีวิตเป็นโทษสูงสุดสำหรับผู้กระทำผิด การ ประหารชีวิต หลายท่านก็เห็นด้วย หลายท่านก็ไม่เห็นด้วย แตกต่างมุมมองและความคิด การประหารชีวิต ไม่ใช่เพิ่งมีในประเทศทั่วโลก เป็นเจตนาแท้ ๆ ที่ทำให้ตาย(ที่ถูกกฎหมาย)
การประหารชีวิตในประเทศไทย ที่ผ่านไป เกิดความสนใจขึ้นทั่วโลก เนื่องจากใกล้วันต่อต้านโทษการประหารชีวิต 10 ตุลาคม 2552  ใครจะว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็ช่าง


   


หากมุมมองของผม คิดว่าสมควรใช้กับการกระทำ พฤติการณ์ที่จะให้ตายตกไปตามกัน(สะใจดี) ในคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และเป็นที่สนใจสำหรับประชาชน ที่ผู้กระทำมีความโหดเหี้ยม ไร้ศีลธรรม หรือกระทำเยี่ยงสัตว์ และมนุษย์ที่ประเสริฐแล้วเขาไม่ทำกัน เป็นต้น ไม่ใช่ใช้กระทำ หรือตัดสินอย่างพร่ำเพรื่อ

ผมเชื่อว่าผู้พิพากษา หรือองค์คณะฯ ที่ตัดสินคดีดังกล่าว ก็เป็นมนุษย์ธรรมดานี่เอง (ที่ดี) คนหนึ่ง ย่อมนอนไม่หลับ และบางท่านอาจจดจำ ไม่มีวันลืมไปจนถึงวันสุดท้ายของตนเอง ก็เหมือนกับคนดี ๆ ทำบาป ที่สั่งฆ่ามนุษย์คนหนึ่ง ในทางศาสนาอาจเป็นเรื่องของเวรกรรม มีการจองเวรจองกรรมกันต่อไป และยังไงก็เป็นบาป ไม่มีบทยกเว้นในนรกภูมิ บางท่านอาจถือเป็นผลงานเด่น คุยได้ไม่จบ เพราะน้อยคนที่จะได้มีโอกาสวินิจฉัยพิพากษาให้เป็นอย่างนั้น (เหมือนหมอมีด/ผ่าตัด พวกนี้ชอบการกรีดผ่าตัดเย็บ ชอบเห็นอวัยวะภายใน และน้อยคนที่จะทำได้) หากมองอีกมุม ก็เป็นการผดุงความยุติธรรมในสังคม เพื่อคนส่วนรวม ส่วนใหญ่ และเป็นความผิดร้ายแรง ว่างั้นเถิด


หากไม่มีบทกำหนดโทษ ประหารชีวิตไว้ในกฎหมายแล้ว ผลจะเกิดอย่างไร? ไม่ สามารถลงโทษให้สาสมกับฐานความผิดที่ผู้ต้องหา หรือจำเลยได้ก่อขึ้น เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมาย การฆ่าล้างแค้นจะเกิดมากเพิ่มขึ้นในสังคมไทย เพราะกฎหมายอ่อนแอ ผู้จะกระทำความผิดไม่เกรงกลัว ยำเกรงในกฎหมายบ้านเมือง ยอมติดคุก ติดคุกยังมีวันออก หรือติดแต่สบาย ขนาดมีตัวอย่างการประหารชีวิตให้เห็น สถิติการเกิดอาชญากรรมใกล้จะนับเป็นนาทีละกี่เรื่อง

การคงอยู่ของโทษประหารชีวิต จึงต้องอยู่บนหลักนิติธรรม ของบ้านเมืองเราชาวไทย ไม่ใช่ไปเดินตามก้น(ตูด) ของต่างประเทศ หรือไปยึดติดว่า เขามีเราก็มี เขาเลิกเราก็เลิก เช่น เขาเปลี่ยน จากแขวนคอ ตัดคอ เข้าห้องแก๊สพิษนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ฯลฯ มาเป็นฉีดสารพิษเข้าร่างกาย ก็ต้องไปแก้ไขตามเขา อีกหน่อยเขาแก้ไข ให้กินยาตายเอง โดยไม่มีผู้ใดยัดป้อนเข้าปาก กระโดดตึกกระโดดน้ำตาย เราไม่ต้องไปเปลี่ยน แก้ไข ตามเขาหรือ? เหมือนเอาไว้อ้างในเวทีโลกว่า ที่โน่นก็ทำเหมือนกัน เป็นประเทศมหาอำนาจ มีความเจริญสุด ๆ


อีกมุมหนึ่ง พวกก่ออาชญากรรมร้ายแรง สะเทือนขวัญ เอากันจริง ๆ แล้ว สังคม(ในใจ)อยากให้ มันตายไป แต่พอศาลตัดสินลดโทษเหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต เพราะรับสารภาพ หรือด้วยเหตุอันควรปราณีอื่นใด สังคมก็หาว่ากฎหมายอ่อน ไม่เด็ดขาด โจรผู้ร้ายถึงเต็มบ้าน เต็มเมือง สรุป โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

แต่สำหรับคดีจำหน่ายยาเสพติดที่ศาล ตัดสินประหารชีวิตไปดังกล่าว ถือเป็นคดีที่ทำลาย ฆ่ามนุษยโลก ฆ่าเพื่อนร่วมชาติ บั่นทอนเศรษฐกิจ สังคม และชาติ บางคนว่ามันเป็นปลายเหตุเท่านั้น แม้จะเขียนเสือให้วัวกลัว ยาเสพติดไม่หมดไป เพราะประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง การตัดสินดังกล่าวจึงไม่เป็นที่น่าสนใจยอมรับเท่าที่ควร เพราะเป็นเชิงนามธรรม ไม่เหมือนกับคดีฆ่ายกครัว ฆ่าข่มขืนหญิง หรือเด็ก หรือที่ใครพบข่าวแล้วยังมีความโกรธแค้นเคืองแทน ตามนิสัยคนไทยเรา ที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากเสียกว่าหรืออาจเป็นเพราะ มีคดีมากมาย ที่น่าสนใจในสังคมไทย ที่จำเลยรอดจากการถูกประหารชีวิต ทั้งที่สังคมอยากให้ตาย แต่ผิดหวัง ก็เป็นไปได้??????









คุก35ปี "สหายดุช" อดีตผู้นำเขมรแดง
     เมื่อวันที่ 26 ก.ค.53 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลพิเศษคดีอาชญากรสงครามประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยสหประชาชาติ มีคำตัดสินจำคุกนายเคียง เกก เอียฟ หรือสหายดุช อดีตผู้นำเขมรแดงเป็นเวลา 35 ปี เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อช่วงทศวรรษ 1970 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2 ล้านคน
     ดุช วัย 67 ปี เป็นอดีตผู้นำเขมรแดงคนแรกจากทั้งหมด 5 คนที่เข้ารับการพิจารณาคดีสังหารชาวกัมพูชาจำนวนมากในช่วงที่เขมรแดงมีอำนาจ ส่วนอดีตผู้นำเขมรแดงอีก 4 รายคาดว่า จะเข้ารับฟังการตัดสินไม่เกินช่วงต้นปี 2555
     ทั้งนี้ กัมพูชาไม่มีโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด


 




 












ข่าวที่ปรากฎ


"สำนักข่าวต่างประเทศทั้งเอพีและเอเอฟพี รายงานเมื่อ 28 ส.ค.52 ว่า สหภาพยุโรปกล่าวประณามไทย หลังเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ประหาร 2 นักโทษชายค้ายาเสพติด ได้แก่ นายบัณฑิต เจริญวานิช วัย 52 ปี และนายจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ วัย 45 ปี ที่เรือนจำบางขวาง จ.นนทบุรี ด้วยการฉีดยาพิษ เมื่อเวลา 17.00 น. ของวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา

ทางสวีเดน ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนล่าสุดของสหภาพยุโรปออกแถลงการณ์ ว่า ทางกลุ่มรู้สึกเสียใจและไม่เห็นด้วยต่อโทษประหารชีวิต ไม่ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใดก็ตาม และวอนให้รัฐบาลไทยยกเลิกมาตรการดังกล่าว เพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษยชาติไว้

ขณะเดียวกัน องค์การนิรโทษกรรมสากลซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชน มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ก็ระบุว่า รัฐบาลไทยควรเอาเยี่ยงอย่างรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศโตโกและบุรุนดีในทวีปแอฟริกา ที่ยกเลิกการประหารชีวิตไปในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา และรัฐบาลควรจัดหารืออย่างเร่งด่วนเพื่อทบทวนมาตรการลงโทษดังกล่าว นอกจากนี้ยังเสริมว่า การที่รัฐบาลสั่งตัดสินประหารชีวิตเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีนั้น ทำให้ประเทศชาติล้าหลัง

ทั้งนี้ นักโทษชายที่ถูกประหารทั้งคู่ถูกตำรวจจับกุมเมื่อ 29 มี.ค. 2544 พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 114,219 เม็ด และถูกศาลอาญาพิพากษาโทษประหารชีวิต.           
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป(อียู) ต้องการให้ไทยยกเลิกโทษประหารว่า ทางยุโรปมีจุดยืนมานานแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต ส่วนตัวเคยสอบถามประชาชนเห็นได้ชัดว่ายังมีความเห็นแตกต่างกันมากในเรื่อง นี้ ต้องใช้เวลากับสังคมว่าเรายอมรับได้หรือไม่ที่จะยกเลิก เพราะ ส่วนใหญ่ประเทศที่เจริญแล้วจะไม่มีโทษดังกล่าว ยกเว้น สหรัฐอเมริกา คนของเราจำนวนมากยังเชื่อว่าการมีโทษรุนแรงสามารถปรามไม่ให้คนทำผิดได้ เมื่อถามว่าต้องชี้แจงทางอียูหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่จำเป็นเพราะเขาก็รู้ว่าสหรัฐยังมีเรื่องนี้อยู่ เป็นเพียงเรื่องของคนที่มองว่าหลักสิทธิมนุษยชนหรือการอ้างอิงหลักศาสนา เมื่อถามว่าประเด็นนี้จะถูกนำไปเป็นเงื่อนไขกีดกันทางการค้าหรือไม่ นายกฯ ปฏิเสธว่า ไม่คิดว่าจะเป็นเงื่อนไขใดๆ
เพราะสหรัฐก็ยังมีโทษดัง กล่าว"




ผมว่า ยังไง ๆ  อเมริกาไม่มีทางยกเลิกโทษประหารชีวิต  
เพราะจะไม่สามารถจัดการ กับศัตรูก่อการร้าย ได้เลย?


เว็บไซท์ หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ได้เผยแพร่ภาพที่แสดงให้เห็นระบบยุติธรรมที่เด็ดขาดของเยเมนจากการที่ชายคน หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่า ข่มขืนและฆ่าเด็กชายวัย 11 ปี ได้ถูกนำตัวแห่ประจานไปทั่วบ้านเกิดของเขา ก่อนจะถูกเพชรฆาตประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าต่อหน้าฝูงชน  รายงาน ระบุว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่เรียงรายกันอยู่ตามถนน ต่างส่งเสียงร้องตะโกนประนามเยห์ยา ฮุสเซน อัล-รักห์วาห์ ผู้ต้องหาในคดีนี้ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเด็กชายเคราะห์ร้าย ที่มีชื่อว่าฮัมดี้ อัล-คาบาส ไปตัดผมที่ร้านของเขา เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในระหว่างการสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอด หรือ อิดิล ฟิตรี ซึ่งหลังจากทำร้ายเด็กชายอย่างโหดเหี้ยมแล้ว เขายังจัดการแยกชิ้นส่วนศพและเอาไปทิ้งนอกกรุงซาน่าอีกด้วย อีกหนึ่งเดือนต่อมา ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตเขา หลังจากเขายอมรับสารภาพ

ภาพช่วง นาทีท้าย ๆ ของฆาตกรได้ถูกเผยแพร่ หลังจากเขาถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม โดยตอนแรกเขาได้ถูกนำตัวออกจากเรือนจำกลาง ในสภาพสวมกุญแจมือ และสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว สีหน้าแสดงความหวาดกลัว มีทหารล้อมรอบขณะเดินผ่านฝูงชน เมื่อก้าวขึ้นไปบนพรมสีแดง เขาได้รับอนุญาตให้สวดภาวนาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกจับนอนคว่ำหน้าและถูกฉีกเสื้อด้านหลัง

ในขณะที่ ตำรวจอ่านคำตัดสินโทษของเขาเป็นครั้งสุดท้าย และแพทย์ได้เข้ามาตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ และมีบางคนใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเอาไว้ด้วย จากนั้นทหารที่รับหน้าที่เพชรฆาต ได้ใช้ปืนกลระดมยิงที่เข้าต้นคอของนักโทษ ทำให้ตัวเลขของนักโทษที่ถูกประหารชีวิตในเยเมนปีนี้ เพิ่มเป็น 9 คน

เยเมนเป็น 1 ใน 59 ประเทศ ที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิต และใช้ทั้งกับคดีอาชญากรรมที่รุนแรงและไม่รุนแรง เช่น การคบชู้และการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น เมื่อปีที่แล้ว มีนักโทษถูกประหารชีวิต 13 คน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจสูงกว่านี้ ทั้งหมดเสียชีวิตจากการถูกยิงเป้า

แต่มี รายงานด้วยว่า ยังมีการประหารชีวิตด้วยการขว้างปาด้วยก้อนหินและการตัดศีรษะอยู่ด้วย ภายใต้กฎหมาย ชาเรีย หรือกฎหมายอิสลามที่เคร่งครัด ญาติของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมมีอำนาจในการให้ละเว้นโทษผู้กระทำผิด เพื่อแลกเปลี่ยนกับค่าเสียหายก็ได้





24 ตุลาคม 2552


ผลของการลงโทษประหารชีวิตที่ มีต่อการป้องกันอาชญากรรม

1.1 คำกล่าวดังกล่าว ไม่เป็นจริง นั่นหมายถึง แม้ประมวลกฎหมายอาญาไทย มาตรา 18(1) จะกำหนดโทษสูงสุดของการกระทำความผิดไว้ ให้ประหารชีวิต ผู้กระทำผิด หรือจำเลย ก็ตาม แต่สถิติคดีอาญา โดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น ไม่ได้ลดน้อย หรือต่ำลงกว่าสถิติของปีที่ผ่าน ๆ มา มีแต่จะเพิ่มเกิดสูงมากขึ้น และระบบศาลของไทย ประกอบกับสังคมไทยเป็นสังคมเมืองพุทธ มีกฎหมายกำหนดให้สามารถลดหย่อนผ่อนโทษจากหนักเป็นเบา เช่น ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี หรือไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน เคยทำคุณงามความดีให้กับสังคม ประเทศชาติ นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติ มิให้นำบทบัญญัติโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตมาใช้บังคับกับผู้กระทำผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และให้เปลี่ยนเป็นโทษจำคุก 50 ปีแทน  หรือเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดให้ลงโทษประหารชีวิต ก็ยังสามารถยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตได้อีก เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม การกำหนดโทษประหารชีวิต คงจะยกเลิกไม่ได้ และต้องยังคงไว้ในประมวลกฎหมายอาญา แม้นานาประเทศทั่วโลกจะยกเลิกโทษประหาร ชีวิตแล้วก็ตาม  โดยมองว่า โทษประหารชีวิต ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง แต่ควรจะทำอย่างไร ไม่ให้คนกระทำความผิดรุนแรง ในรณรงค์ให้การศึกษา เชิงป้องกันมากกว่า การลงโทษดังกล่าว

1.2 กรณีใช้โทษจำคุก กำหนดไว้ใน (2) ของ มาตรา 18 ป.อาญา เช่นกัน การใช้โทษจำคุก มีผลต่อการป้องกันอาชญากรรมได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันได้อย่างสิ้นเชิง ปัจจุบัน การก่ออาชญากรรม เกิดขึ้นทุกวัน ข้อมูลจากเรือนจำทุกแห่ง แทบจะกล่าวได้ว่า ตัวอาคารสถานที่ไม่สามารถรองรับปริมาณผู้ต้องขัง(ระหว่างการพิจารณาคดี)  และผู้ต้องโทษ(ที่ถูกตัดสินพิพากษา) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมไทย จนรวยน้อย คนจนมาก ภาวะการว่างงาน ตกงาน ทำให้มีผู้กระทำผิดเกิดมากขึ้น ทั้งที่เป็นอาชญากรโดยสันดาน และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ได้กระทำความผิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะปัจจุบัน อาชญากร ที่เป็นเด็ก เยาวชน เกิดขึ้นจำนวนมาก ถูกจับเข้าสถานพินิจ สืบเสาะ คุมประพฤติ ผู้ปกครองรับตัวกลับไป และก่อเหตุซ้ำซากขึ้นอีก จนเป็นผู้ใหญ่ก็กระทำผิดอีก ย้ายจากสถานพินิจคุ้มครองเด็กไปเรือนจำแทน


นอกจากนี้ อัตราโทษจำคุกของระบบศาลไทย อาจกล่าวได้ว่า ไม่เด็ดขาด หรือทำให้เข็ดหลาบ เพราะเหตุผลตามข้อ 1.1 กล่าวคือ หากจะเลยให้การรับสารภาพ เป็นเด็ก ไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน ก็จะได้รับการพิจารณาลดโทษ การรอการกำหนดโทษ หรือรอลงอาญา เป็นต้น  จนเป็นคำกล่าวที่ว่า "ติดคุก ยังมีวันออก" เข้าไปถูกขังรับโทษในเรือนจำ ก็มีการพิจารณา เป็นนักโทษชั้นดี มีการพักการลงโทษ หรือพ้นโทษก่อนกำหนดได้ เป็นต้น จึงทำให้มองและพิจารณาถึงระบบ ศาลและราชทัณฑ์ หากไม่มีความเด็ดขาดเข้มแข็งแล้ว ประกอบกับข้อกำหนดพิเศษของกฎหมายในเรื่องการลดโทษ การรอกรลงโทษด้วยแล้ว จะทำให้ไม่สามารถป้องกันอาชญากรรมในสังคมไทยเราได้
เพราะความจริงแล้ว ระบบการป้องกันอาชญากรรม จะต้องเข้มข้น มีประสิทธิภาพหรือ มีประสิทธิผล จากการป้องกันระงับอาชญากรรม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันดับแรก ทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเหตุ หรืออาชญากรรมในสังคมมากกว่า โดยเน้นระบบสายตรวจ รวมทั้งการรณรงค์ขอความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแส การช่วยเหลือตัวเองประกอบ ซึ่งน่าจะทำให้สถิติคดีอาญากรรมลดน้อยลง หรือคนร้ายไม่กล้าก่อเหตุนั่นเอง




 บีบีซีรายงานวันที่ 17 มิ.ย.53 ว่า ทางการรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ประเดิมใช้วิธีการยิงเป้าประหารนักโทษ แม้จะมีเสียงทักท้วง วิงวอน รวมถึงคำวิจารณ์ว่า วิธีการดังกล่าวป่าเถื่อนและย้อนยุคกลับไปสมัยคาวบอย ที่อเมริกายังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

นักโทษที่ถูกประหารในครั้งนี้ มีชื่อว่า นายรอนนี่ ลี การ์ดเนอร์ วัย 49 ปี ติดคุกมานาน 25 ปีจากการต้องโทษประหารชีวิตในความผิดฆาตกรรมซ้อน โดยระหว่างถูกดำเนินคดีฆาตกรรมเหยื่อรายแรกในปี 2527 ก็ยิงสังหารนายไมเคิล เบอร์เดลล์ ทนาย ระหว่างพยายามหลบหนีออกจากศาลในปี 2528 โดยเป็นนักโทษรายที่ 3 ที่ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ในสหรัฐ นับจากปี 2519 โดยรัฐยูทาห์เคยตัดสินให้วิธีการยิงเป้าเป็นวิธีนอกกฎหมายเมื่อปี 2547 แต่ไม่มีผลย้อนหลังในคดีของการ์ดเนอร์ แม้ว่าญาติของนายเบอร์เดลล์จะช่วยขอร้องด้วย เพราะนายเบอร์เดลล์เป็นผู้ที่ต่อต้านการประหารชีวิต

การจัดประหาร ชีวิตมีขึ้นที่เรือนจำแห่งรัฐยูทาห์ ในเมืองแดร็ปเปอร์ ชานเมืองซอลต์ เลก ซิตี้ หลังช่วงเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น ใช้เจ้าหน้าที่ 5 นายที่เป็นตำรวจอาสาสมัครยิงนักโทษที่หัวใจพร้อมกัน ปืนที่ใช้เป็นไรเฟิล ส่วนกระสุน 4 นัดเป็นกระสุนจริง นัดที่ 5 เป็นกระสุนเปล่า ส่วนนายการ์ดเนอร์ถูกจับใส่ผ้าคลุมศีรษะและถูกมัดติดกับเก้าอี้เหล็กสีดำ มีเป้ายิงสีขาวติดอยู่ที่หน้าอก ตำแหน่งตรงหัวใจ ระยะการยิงอยู่ห่าง 7.6 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ถามนายการ์ดเนอร์ว่า มีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ นักโทษประหารกล่าวว่า "ผมไม่มี ไม่" จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงยิง และนายโธมัส แพตเตอร์สัน ผู้อำนวยการราชทัณฑ์ประกาศว่า นักโทษการ์ดเนอร์เสียชีวิตใน 2 นาทีหลังจากถูกยิง

"นี่เป็นภารกิจที่ไม่ปกติ แต่เราก็ดำเนินการไปอย่างมืออาชีพ ทำไปโดยให้เกียรติและเคารพชีวิตมนุษย์อย่างที่สุด ถือเป็นการกระทำที่สมควรสำหรับครอบครัวผู้เป็นที่รักและเสียชีวิตและครอบ ครัว" แพตเตอร์สันกล่าว


 เด ลี่เมล์รายงานวันที่ 31 พ.ค.54 ว่า สาวมุสลิมวัย 19 ปี ในยูเครนถูกรุมปาหินดับอนาถในการรับโทษประหารชีวิตตามกฎหมายอิสลาม หลังจากไปประกวดเวทีนางงามในเมืองซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับกลุ่มมุสลิม สายเคร่งในหมู่บ้าน

สาวน้อยชะตาขาดมีชื่อว่า คัตยา โคเร็น หายตัวไปจากบ้านในแคว้น ครีเมีย หนึ่งสัปดาห์ต่อมามีคนพบร่างที่บอบช้ำถูกฝังอยู่ในป่าใกล้บ้าน เพื่อนเผยว่า คัตยาชอบสวมเสื้อผ้าแฟชั่นและเพิ่งไปประกวดนางงามมา

ตำรวจจับกุมผู้ ต้องสงสัยไว้ได้ 3 คน ซึ่งยืนกรานว่า หญิงสาวสมควรตายแล้วตามกฎหมายอิสลาม นายบีฮัล กาเซียฟ อายุ 16 ปี หนึ่งใน ผู้ต้องหาให้การว่า คัตยาละเมิดกฎหมายอิสลาม ตนไม่เสียใจที่คัตยาตาย

การปาหินเป็นโทษ ประหารที่ชาวมุสลิมมีความเห็นไม่ลงรอยกัน บางกลุ่มสนับสนุน แต่บางกลุ่มคัดค้าน แต่หลายประเทศทั้งอิหร่าน ไนจีเรีย และปากีสถานยังใช้อยู่ ซึ่งอิหร่านมีโทษปาหินสำหรับคดีชู้สาวเท่านั้น โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 10 คน และผู้ชาย 4 คน ที่จะต้องรับโทษภายในสิ้นปีนี้

ประชาคม โลกเริ่มให้ความสนใจและต่อต้านโทษประหารด้วยการปาหินจากกรณีของนางซากิเนห์ อัชเตียนา ถูกศาลอิหร่านตัดสินประหารจากคดีชู้สาว ซึ่งนางอัชเตียนาต้องทนทุกข์ทรมานถูกสามีขี้ยาซ้อมมานานหลายปีอีกทั้งถูก บังคับให้ขายบริการกระทั่งทนไม่ไหวร่วมมือกับชู้สังหารสามี เบื้องต้นนางอัชเตียนาถูกจำคุก 10 ปี และถูกตัดสินประหารด้วยการปาหิน แต่ศาลอิหร่านระงับการลงโทษไว้ ภายหลังจากที่ถูกสังคมโลกประณาม

ครับ ความป่าเถื่อนยังมีอยู่ในโลกใบนี้  

  

10 ต.ค.2554

 นางแคทเธอรีน แอชตัน ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงของสหภาพยุโรป (อียู)และนายธอร์บยอร์น แจ็คแลน เลขาธิการสภายุโรป ได้ออกแถลงการณ์ร่วม เนื่องในวันต่อต้านโทษประหารชีวิตยุโรปและสากลวันที่ 10 ต.ค. โดยย้ำจุดยืนร่วมกัน ในการต่อต้านโทษประหารชีวิต และความมุ่งมั่นในการล้มเลิกโทษประหารชีวิตในทั่วโลก
       "พวกเราตระหนักว่า การลงโทษประหารชีวิต เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรม และเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ประสบการณ์ในอดีตของยุโรป เป็นข้อคิดที่สอนให้พวกเรารู้ว่า การมีโทษประหารชีวิต ไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดอาชญากรรมร้ายแรงลดลง อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยให้ความยุติธรรมใดๆ แก่เหยื่ออาชญากรรมเหล่านั้น อีกทั้ง การลงโทษประหารใดๆ อันเป็นผลมาจากการตัดสินที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีระบบกฎหมายใดๆ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งๆไป โดยไม่สามารถเรียกกลับมาได้" แถลงการณ์ร่วมของอียู ระบุ
         ตั้งแต่พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ไม่มีการลงโทษโดยใช้วิธีการประหารชีวิตขึ้นอีกเลย  ภายในกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิกอียู
         แถลงการณ์อียู ฉบับนี้  ยังประณามการใช้โทษประหารในเบลารุส ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวในทวีปยุโรป  ที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิตอยู่ และพยายามกระตุ้นให้เบลารุส  เริ่มต้นจากการหยุดตัดสินโทษผู้กระทำผิดด้วยโทษประหารชั่วคราวก่อน ด้วยความหวังว่าในที่สุด จะนำไปสู่การล้มเลิกโทษประหารชีวิตแบบถาวร
         แถลงการณ์อียู ฉบับนี้ ระบุด้วยว่า มีความยินดีต่อมติของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ให้หยุดใช้โทษประหารชั่วคราวทั่วโลก พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่จะให้มีการล้มเลิกโทษประหารชีวิตอย่างถาวร ซึ่งมตินี้  ได้รับการสนับสนุน และร่วมมือในหลายประเทศ ในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก
          อย่างไรก็ตาม  การสนับสนุน ที่เพิ่มมากขึ้นต่อมติของยูเอ็น ในปีพ.ศ. 2550  2551 และ2553 เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่า นานาชาติ มีแนวโน้มที่จะต่อต้านโทษประหารชีวิตเพิ่มมากขึ้น แต่แม้ว่าในปัจจุบัน จำนวนประเทศ ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว จะมีเพิ่มขึ้น คือ เพิ่มจาก 55 ประเทศ เป็น 97 ประเทศ ในระหว่างปีพ.ศ. 2536-2552 แต่ไม่อาจมองข้ามได้ว่า ยังคงมีอีก 58 ประเทศ  ที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่


 

14 ธ.ค.2554

หญิงสาววัย 25 ปี "เหอซุยหลิง" ก็เหมือนกับสาวชาวชนบทจีนส่วนใหญ่ ที่เติบโตมาท่ามกลางความยากจนแร้นแค้น มีชีวิตอยู่อย่างลำบาก สุดท้ายก็ตกไปสู่วังวนของแก๊งยาเสพติด โดยซุยหลิง ถูกแฟนหนุ่มบังคับให้ขนเฮโรอีนไปส่งลูกค้า ก่อนถูกตำรวจจับกุมด้วยข้อหาค้ายาเสพติด ซึ่งตามกฎหมายจีน คดียาเสพติดถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ต้องโทษถึงประหารชีวิต!

หากจะ กล่าวว่า ชะตาชีวิตของซุยหลิง ก็ไม่ต่างจากผู้ต้องคดียาเสพติดส่วนใหญ่บนแผ่นดินจีน ก็คงจะไม่ผิดนัก ทว่าเรื่องราวของเธอกลับโด่งดังบนโลก อินเตอร์เน็ต เนื่องจากซุยหลิงเอ่ยปากขอ "เสื้อสีดำ" จากพัสดีหญิง ด้วยเหตุผลว่าเธอสวมใส่แล้วดูไม่อ้วน ตอนตายจะได้ดูสวย

นอกจากนั้น ภาพที่แพร่กระจายอยู่ในเน็ตยังปรากฏภาพที่ซุยหลิงได้กินอาหารมื้อสุดท้าย เป็นบะหมี่กับขนมหวาน พร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเป็นครั้งสุดท้าย เผยให้เห็นใบหน้า อันไร้เดียงสาของเด็กสาวชนบทจากหมู่บ้านเซียนเถา ชุมชนเล็กๆ ในมณฑล หูเป่ยของจีน

ก่อนที่ภาพต่อมาจะเป็นภาพเธอเดิน ก้มหน้าร้องไห้ เพื่อเข้าสู่ลานประหารพร้อมกับนักโทษรายอื่นๆ

เหตุการณ์ ทั้งหมดเป็นบันทึก 10 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนการประหารชีวิตที่เรือนจำหญิงอู่ฮั่น ทางภาคกลางของประเทศ โดยเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อปี 2546 ต่อมามีผู้นำเรื่องทั้งหมดมาโพสต์ลงในเว็บไซต์ จนเป็นที่ฮือฮาในสังคมจีน

จาก บันทึกเรื่องราวของซุยหลิง เผยว่า หญิงสาวเชื่อมาตลอดว่าหากยอมรับผิดก็จะได้รับโทษสถานเบา ซึ่งซุยหลิงก็ทำตามนั้น พร้อมกล่าวกับผู้พิพากษาว่า "ได้โปรดให้โอกาสครั้งที่สอง ฉันอยากมีชีวิตอยู่ ฉันยังอายุน้อยอยู่เลย"

ก่อน หน้านี้ การพิจารณาคดีของซุยหลิงใช้เวลาเพียงแค่ 9 เดือน ซึ่งระหว่างนั้น หญิงสาวเชื่อมั่นว่าตนน่าจะได้รับโทษจำคุก 15 ปี "ฉันคงมีอายุราว 40 ปีตอนออกจากคุก" ซุยหลิง กล่าวกับเพื่อนนักโทษ

แต่ศาลจีนมอบโทษตาย แก่เธอด้วยวิธียิงเป้า

หลังจากยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง ซุยหลิงเขียนจดหมายร่ำลาเพื่อมอบให้กับพ่อและแม่

"พ่อแม่สอนลูกมา ตลอดว่าให้ทำตัวให้ดี แต่ไม่นึกเลยว่าจะต้องมารับโทษหนักขนาดนี้ ลูกแค่อยากหาเงินส่งทางบ้านเยอะๆ เท่านั้นเอง"

ด้าน หยาง ยู่หง ช่างภาพผู้บันทึกเหตุการณ์ก่อนการประหารกล่าวว่า หญิงสาวดูผ่อนคลายมาก เพราะทั้งเพื่อนนักโทษตลอดจนผู้คุมหญิงต่างเห็นเธอเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน มานาน จึงช่วยกันหาเสื้อผ้าสีดำปักลายสวยมาให้ใส่ และช่วยกันปลอบใจซุยหลิงด้วย

แต่พอทั้งหมดถูกนำตัวไปยังลานประหาร บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที โดยใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยน้ำตา

ยู่ หงกล่าวด้วยว่า รายงานข่าวของตน ชิ้นนี้ ถูกปฏิเสธจากหนังสือพิมพ์ต้นสังกัดซึ่งไม่ยอมให้ตีพิมพ์ เกรงว่าจะขัดแย้งกับรัฐบาลในสมัยนั้น ก่อนที่เว็บไซต์ของสำนักข่าวโทรทัศน์ในฮ่องกงจะนำมาเผยแพร่เมื่อต้นเดือนธ .ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายละเอียดของคดี ตลอดจนเรื่องราวชีวิตของซุยหลิง ได้จุดประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกรณีที่ระบบยุติธรรมจีนทำให้เกิดนักโทษที่รอการประหารชีวิตมากกว่า ทั้งโลกรวมกันด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน กระทู้บนอินเตอร์เน็ตเรื่องของซุยหลิง มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเกิน 3,000 คนแล้ว ส่วนใหญ่โจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ

มีรายหนึ่ง ระบุว่า "สิ่งที่หญิงคนนี้ทำ เทียบไม่ได้กับการคอร์รัปชั่น ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสมควรถูกยิงเป้าแทนซุยหลิงด้วยซ้ำ"