Thursday, September 6, 2012

ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยก” คดี ดา ตอร์ปิโด มีความหมายอย่างไร

ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยก” คดี ดา ตอร์ปิโด มีความหมายอย่างไร


          เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 ศาลอาญาพิพากษาว่า นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล
(ดา ตอร์ปิโด) จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 18098/2553 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อพระราชินี ต่อรัชทายาทหรือต่อผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์) ให้จำคุกกระทงละ 6 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 18 ปี จำเลยอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในเรื่องความเห็นของจำเลยโดยส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หรือไม่ เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือ พิพากษาใหม่แล้วแต่กรณี
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความงุนงงสงสัยแก่สาธารณชน ที่มิได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ว่า : ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น “ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในเรื่องความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย”และ “พิจารณาพิพากษาใหม่หรือพิพากษาใหม่แล้วแต่กรณี” คืออะไร มีเหตุผลที่มาอย่างไร และมีความหมายเช่นใด เพื่อคลายปมความสงสัยดังกล่าว ผู้เขียนจึงขออนุญาตอรรถาธิบายขยายความดังนี้
ข้อเท็จจริงแห่งคดีมีว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญา พนักงานอัยการโจทก์ยื่นคำร้องว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และพระราชินี หากเผยแพร่คำเบิกความอาจเกิดความไม่สงบเรียบร้อย จึงขอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ ทนายจำเลยคัดค้าน ศาลอาญาเห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาญาจักรฯลฯ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 อนุญาตให้พิจารณาคดีเป็นการลับ อีก 2 วันต่อมา ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า คำสั่งศาลอาญา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 40(2) ที่บัญญัติว่า “สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณาซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณา โดยเปิดเผย...” และ “มาตรา 29 ที่บัญญัติว่าการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้...” กรณีจึงเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองโดยชัดแจ้ง ซึ่งจะกระทำมิได้ ขอให้ศาลอาญาส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 211ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ศาลอาญามีคำสั่งว่า คำโต้แย้ง ของจำเลยไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงให้ยกคำร้อง
เห็นได้ว่า ข้อโต้แย้งของจำเลยกับคำวินิจฉัยของศาลอาญามีความแตกต่างกัน ประเด็นจึงมีว่า ที่ถูกต้องแล้ว ถ้าจำเลยโต้แย้งว่าคำสั่งของศาลอาญาหรือศาลอื่นขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ศาลยุติธรรมจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง

/ ในที่สุด ...
ในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็ให้คำตอบชี้ขาดว่า “การส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 211 วรรคหนึ่ง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญหรือคู่ความโต้แย้งด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบัญญัตินั้น ศาลอาญาต้องส่งความเห็น(ข้อโต้แย้งของจำเลย) ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นเสียก่อน โดยให้รอการพิจารณาคดีไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเสร็จไปในทางหนึ่งทางใด และการที่จะวินิจฉัยว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย ไม่ใช่อำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นศาลยุติธรรม ...” เว้นแต่กรณีไม่เข้าองค์ประกอบ ตามมาตรา 211 ซึ่งศาลอุทธรณ์ตรวจสอบแล้ว ยังไม่เคยมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์มาก่อน ศาลอาญาจึงจะต้องส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยรอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว การที่ศาลชั้นต้นไม่รอการพิพากษาคดีและไม่ส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงเป็นการมิชอบ...”

สรุปทางออกทางแก้ที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ก็คือ

1.) เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยก...”คำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับว่าคดีนี้ศาลอาญาต้องกลับไปดำเนินการใหม่เฉพาะในเรื่องการส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะคดีมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว

2.) คำพิพากษาศาลอาญาที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 18 ปี ก็พลอยสิ้นผลไปชั่วคราว เพราะตามกฎหมายแล้วศาลอาญาจะมีคำพิพากษาได้ก็ต้องรอฟังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียก่อน

3.) ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่งศาลอาญาที่ให้พิจารณาคดีเป็นการลับนั้น
ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับมาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ศาลอาญาก็ต้องมาปรึกษาคดีกับองค์คณะแล้วมีคำพิพากษาใหม่อีกครั้งว่าจะพิพากษาลงโทษจำเลย โดยการจำคุกหรือยกฟ้องจำเลยอย่างไร และ

4.) หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลอาญาไม่ชอบ ขัดหรือแย้งกับมาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ศาลอาญาก็ต้องสืบพยานโจทก์และจำเลยใหม่โดยเปิดเผย ห้ามพิจารณาคดีเป็นการลับ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วจึงพิพากษาใหม่อีกครั้งดังข้อ 3

ดังนั้น ขณะนี้จึงเท่ากับว่าคดีที่ ดา ตอร์ปิโด ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว ศาลอาญายังพิจารณาพิพากษาคดีไม่แล้วเสร็จ ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดก่อน แต่มิได้หมายความว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลอาญาหมายถึงศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด หากท่านผู้อ่านอยากรู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในเรื่องนี้อย่างไร โปรดรอฟังคำสั่งศาลอาญาในวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 เวลา 9.00 นาฬิกา ตามที่ ศาลอาญานัดพร้อมเพื่อฟังผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ
โฆษกศาลยุติธรรม

0 comments:

Post a Comment