Thursday, September 6, 2012

สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายเมื่อถูกจับผิดตัว

สิทธิทางแพ่ง ของผู้เสียหายเมื่อถูกจับผิดตัว


         จากบทความเรื่อง “ทำอย่างไรเมื่อถูกจับผิดตัว” ที่ได้กล่าวถึงการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็น การกระทำที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายซึ่งได้มีการบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงสิทธิในการร้องขอให้ปล่อยตัวของผู้ถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิ ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะมีกฎหมายที่ เกี่ยวข้องในการคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร จากแนวคิดที่ว่าสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28 จึงได้มีบทบัญญัติคุ้มครองให้ “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือ เสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อ ต่อสู้คดีในศาลได้” และหากมีการกระทำใดๆซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย

 มาตรา 32 กำหนดให้ “ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ได้”

อย่างไรก็ดี นอกจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้ผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบ
ด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีบทบัญญัติของกฎหมายสำคัญ อีกฉบับที่ต้องพิจารณาประกอบ คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งมี สาระสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ผู้เสียหายและประสงค์จะ ฟ้องคดีต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้นว่าการกระทำละเมิดนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดย กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
ทั้งนี้

มาตรา 5 กำหนดให้ “ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ ไม่ได้” และ “ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด” 

ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 5824/2543 ที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า
เป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามเข้าจับกุมโจทก์ ซึ่งถือได้ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นแล้ว การควบคุมตัวโจทก์เพื่อไปส่งที่สถานีตำรวจย่อมถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งสถานีตำรวจ ถือได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามสังกัดอยู่ได้ แต่ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำละเมิดไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

มาตรา 8 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย มีสิทธิเรียกให้
เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐจ่ายให้แก่ผู้เสียหายคืนได้ อย่างไรจะถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไป โดยอาจพิจารณาจากลักษณะของการ กระทำของบุคคลนั้นว่าได้กระทำไปโดยขาดความระมัดระวังตามมาตรฐานของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก เช่น ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1789-1790/2518 กรณีโรงงานของจำเลยเผาเศษปอ ทำให้มีควันดำปกคลุมถนนจน มองไม่เห็นทางข้างหน้า จนเป็นเหตุให้มีรถขับมาชนท้ายรถโจทก์ซึ่งจอดอยู่ได้รับความเสียหาย และเหตุการณ์ เช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่จำเลยก็ปล่อยปละละเลยไม่เปลี่ยนวิธีการเผาเศษปอ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ ถ้าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 6
กำหนดให้ “เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้” ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นไว้ในกรณีการยักยอกเงินของ องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำทะลุ ว่าการที่หัวหน้าส่วนการคลังได้เขียนเช็คเบิกเงินเกินกว่าจำนวนเงินที่ตั้งเบิก และนำไปเบิกเงินจากธนาคาร และรับเงินที่ราษฎรมาชำระภาษีและค่าธรรมเนียม แล้วไม่นำเข้าบัญชีเงินฝากของ อบต. แต่เบียดบังเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ถือเป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ เป็นการกระทำความผิดทางอาญา มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการที่จะใช้สิทธิทางศาลยังศาลใด ระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครอง มีคำวินิจฉัยชี้ขาด อำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 22/2547 ได้วินิจฉัยเขตอำนาจศาลที่น่าสนใจไว้ในคดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐว่า ระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของ ผู้ถูกฟ้องคดี ควบคุมตัวผู้ตายซึ่งเป็นบุตรของผู้ฟ้องคดีทั้งสองไว้ ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ายแรงไม่ใส่กุญแจห้องควบคุมผู้ต้องหาอื่น ทำให้ผู้ต้องหาอื่น 9 คน เข้ารุมทำร้ายผู้ตายในห้องควบคุมจนถึงแก่ ความตาย โดยเจ้าพนักงานตำรวจไม่ห้ามปรามทั้งที่สามารถกระทำได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ตายถึงแก่ความ ตายขณะอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นการใช้อำนาจในการควบคุมตัว ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาเพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา และเป็นการใช้อำนาจในกระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครอง จึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เช่นเดียวกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 213/2549 และ 65/2553 ที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไปใน แนวทางเดียวกันว่า การดำเนินการของเจ้าพนักงานตำรวจตามกฎหมายที่มีบทลงโทษทางอาญา และมีประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดอำนาจไว้เป็นการเฉพาะ ถือเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองจึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม การใช้สิทธิทางศาลไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดอันเกิดจาก เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เสียหายสามารถเลือกใช้วิธีการร้องขอให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ตามมาตรา 11 และหน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาคำขอโดยไม่ชักช้าให้แล้ว เสร็จภายใน 180 วัน และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 180 วัน จะเห็นได้ว่า จากสภาพปัจจุบันการจะบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตาม กฎหมายอาจเป็นไปได้ยาก หรือ ในบางกรณีแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้พยายามและระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสามารถที่จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ได้ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เพื่อประโยชน์แก่ผู้เสียหายที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็น ธรรม โดยมีทางเลือกในการดำเนินการสองทาง คือ การใช้สิทธิทางศาล และการร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้ พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบ จากการกระทำละเมิด

สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

1 comments:

  1. MGM Grand Hotel and Casino Ownership, History, & Facts - Drm
    The original MGM Grand 진주 출장샵 Hotel and Casino 경기도 출장마사지 opened 경산 출장마사지 in 1906 제주 출장마사지 and became the world's largest hotel-casino in 1906, only 안성 출장마사지 to be sold for $3.3 billion.

    ReplyDelete